khaodun

เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2560 เจ้าหน้าที่ตำรวจรับแจ้งเหตุมีคนเสียชีวิตที่บ้านเลขที่ 70 ม. 6 ต.บ้านถ่อน อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย ทราบชื่อผู้ตายคือ นายสมพาน แก้ววงศา อายุ 59 ปี นอนตายในห้องน้ำภายใน

บ้านตัวเอง สวมเสื้อเชิ๊ตลายดอก กางเกงขายาว และพบว่ามีกลิ่นสุราคละคลุ้งไปทั่วห้องน้ำ จากการตรวจสอบร่างกายไม่พบว่ามีการต่อสู้แต่อย่างใด สภาพศพยังแข็งทื่อ อ้าปาก สร้างความโศกเศร้าเสียใจแก่ครอบครัวยิ่งนัก



ด้าน นางจันดี แก้ววงศา อายุ 56 ปี เมียผู้ตายกล่าวทั้งน้ำตาว่า สามีตนนั้นมักชอบดื่มเหล้าประจำทุกวัน เตือนแล้วก็แล้วห้ามแล้วก็ไม่ฟัง กินเหล้าแทนข้าวทุกวัน พอตนนั้นออกไปทำธุระข้างนอก พอกลับบมาไม่พบเห็นสามีตัวเอง จึงได้เดินตามหาทั่วบ้าน สุดท้ายจึงมาพบว่านอนตายในห้องน้ำดังกล่าว สามีตายครั้งนี้ไม่ติดใจการตาย เนื่องจากสามีมาตายเป็นโรคหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน พร้อมจะนำศพไปบำเพ็ญพิธีทางศาสนาต่อไป







Cr:http://kinorza.com


Cr:http://thaothaisod.blogspot.com/2017/04/blog-post_80.html?m=1

(17 เม.ย.60) เมื่อเวลา 06.30 น. ร.ต.อ.อัครเดช  เพ็งวงษ์  สารวัตรสอบสวน สภ.เมืองบุรีรัมย์  จ.บุรีรัมย์ รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้ ภายในวัดบ้านโพธิ์ทอง ม.12 ต.พระครู อ.เมือง จึงประสานรถดับเพลิงจาก อบต.พระครู และกู้ภัยสว่างจรรยาธรรม จากนั้นรุดไปยังที่เกิดเหตุพร้อมกับ พ.ต.อ.บัณฑิต  อ่อนสาคร  ผกก.สภ.เมืองบุรีรัมย์



ที่เกิดเหตุพบเพลิงกำลังลุกไหม้อย่างรุนแรงบริเวณศาลาการเปรียญเก่าแก่ ขนาดใหญ่ 2 ชั้น ครึ่งปูนครึ่งไม้ บรรจุคนได้กว่า 500 คน เจ้าหน้าที่ต้องเร่งระดมรถดับเพลิงจาก มณฑลทหารบกที่ 26 และ อ.คูเมือง รวมกว่า 10 คัน แต่ก็ยังไม่สามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ เนื่องจากสถานที่เกิดเหตุเป็นศาลาโบราณ อายุร่วม 100 ปี ภายในเก็บเครื่องอัฐบริขาร อุปกรณ์ประกอบพิธีทางสงฆ์ และรูปหล่อหลวงปู่ทิพย์ อดีตเจ้าอาวาสผู้ก่อตั้งวัดโพธิ์ทอง เจ้าหน้าที่ใช้รถน้ำกว่า 30 เที่ยว ฉีดน้ำสกัดเพลิง แต่เพลิงก็ได้เผาไหม้ศาลาการเปรียญวอดเสียหายไปทั้งหลัง ก่อนเจ้าหน้าที่ดับเพลิงจะสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ ต้องใช้เวลาประกว่า 4  ชั่วโมง เพลิงจึงสงบ โดยต้องทำการฉีดน้ำควบคุมเพลิงไว้อย่างต่อเนื่อง ป้องกันการปะทุของเพลิงขึ้นมาอีก

บรรยากาศโดยรอบศาลา ชาวบ้านหลายคนถึงกับร่ำไห้ เพราะสิ่งของทั้งหมดชาวบ้านร่วมแรงร่วมใจกันก่อสร้าง ปรับปรุงด้วยความบริสุทธิ์ใจและตามกำลังศรัทธา เป็นศูนย์รวมและยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้านร่วมกัน โดยระหว่างที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิง กำลังฉีดน้ำพรมจุดที่ยังมีควันไฟอยู่นั้น รูปหล่อหลวงปู่ทิพย์ ในท่านั่งขนาดหน้าตักประมาณ 120 ซม.สูงประมาณ 100 เมตร เนื้อทองสัมฤทธิ์ร่วงจากชั้นสองลงมาชั้นล่าง และยังคงสภาพเดิม ทำให้ชาวบ้านและหน่วยกู้ภัยวิ่งเข้าไปอุ้มเอารูปหล่อออกมาจากกองเถ้าถ่าน

หลังจากอีกประมาณ 5 นาที รูปหล่อหลวงพ่อกลั่น เจ้าอาวาสอีกองค์ของวัดที่มรณภาพไปแล้ว เป็นรูปหล่อเนื้อทองสัมฤทธิ์ในท่ายืน ร่วงลงมาอีก แต่ถูกความร้อนของไฟหลอมละลายเหลือแต่ส่วนศีรษะ ชาวบ้านบอกว่ารูปหล่อของหลวงปู่ทิพย์และหลวงพ่อกันตั้งอยู่คู่กัน



จากการสอบถามพระไชยยันต์ กันตวีโร  เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ทอง กล่าวว่า วัดโพธิ์ทอง มีพระลูกวัดจำพรรษา อยู่ 3 รูป ระหว่างเกิดเหตุได้ออกไปบิณฑบาตกันหมด  ตนเดินอยู่ด้านหน้าวัด เห็นควันไฟและเพลิงพวยพุ่งมาจากบริเวณห้องครัวชั้นล่างของศาลาการเปรียญ จึงรีบบอกผู้ใหญ่บ้านให้แจ้งเจ้าหน้าที่ดับเพลิงมาช่วยเหลือ แต่เพลิงได้ลุกไหม้อย่างรวดเร็วมาก

ด้านนายสุพิน เดือนแจ้งรัมย์ ผู้ใหญ่บ้าน บ้านโพธิ์ทอง หมู่ 12  เล่าว่า ศาลาการเปรียญดังกล่าวสร้างมาตั้งแต่ก่อนปีพ.ศ. 2500 เดิมเป็นอาคารไม้แบบโบราณชั้นเดียว และได้มีการปรับปรุงเมืองปีพ.ศ. 2512 ยกขึ้นเป็นศาลา 2 ชั้น ครึ่งปูนครึ่งไม้ โดยชั้นบนยังคงเป็นไม้เก่า ที่มีเสากว่า 100 ต้น สำหรับเป็นศาลาฉัน และประกอบพิธีธรรมทางศาสนา ภายในเป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อของหลวงปู่ทิพย์  และเก็บอุปกรณ์พิธีไว้เป็นจำนวนมาก ส่วนด้านล่างเป็นโรงครัว และอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ              

พ.ต.อ.บัณฑิต  อ่อนสาคร  ผกก.สภ.เมืองบุรีรัมย์  กล่าวว่า จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่าขณะเกิดเหตุ พระได้ออกไปบิณฑบาต มีเพียงเจ้าอาวาสอยู่บริเวณกุฏิเพียงรูปเดียว ประกอบกับศาลาดังกล่าวเป็นอาคารไม้เก่าแก่ สายไฟก็ถูกใช้งานมานานตามระยะเวลาการสร้าง จากการสันนิษฐานเบื้องต้น น่าจะเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร มูลค่าความเสียหายยังไม่สามารถระบุได้ ซึ่งสาเหตุที่แท้จริงต้องรอเจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานบุรีรัมย์ เข้ามาตรวจสอบหาสาเหตุการเกิดเพลิงไหม้ที่แท้จริงอีกครั้ง

Cr:http://www.siamvariety.com/view-17933.html

เซอร์เบียจะได้รับของขวัญจากรัสเซีย เป็นเครื่องบินขับไล่แบบ MiG-29 จำนวน 6 ลำ รถถัง T-72 จำนวน 30 คัน และรถลาดตระเวน BRDM-2 อีก 30 คัน

เครื่องบินทิ้งระเบิดชนิดอเนกประสงค์อเนกประสงค์จำนวน 6 ลำของ Mikoyan MiG-29 ซึ่งรัสเซียนำเสนอให้เซอร์เบียเป็นของขวัญจะมาถึงประเทศบอลข่านภายในไม่กี่สัปดาห์หน้า นายกรัฐมนตรีเซอร์เบีย อเล็กซานดร้า วูคิค กล่าวหลังการประชุมกับประธานาธิบดีรัสเซีย

เครื่องบินรบจะเข้าสู่กองทัพอากาศเซอร์เบียจนถึงสิ้นปี 2017 หลังการซ่อมแซมนายยกรัฐมนตรีเซอร์เบียกล่าว

"ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน จะลงนามในพระราชกฤษฎีกาในอีกไม่กี่วันข้างหน้าเพื่อถ่ายโอนเครื่องบินให้กับเราแล้วประเด็นทางด้านเทคนิคจะต้องมีการจัดการ: วิธีการขนส่งเครื่องบินไม่ว่าพวกจะถูกถอดออกเป็นส่วน ๆ หรือประเทศใดประเทศหนึ่งจะจัดหาน่านฟ้า สำหรับเที่ยวบินของพวกเขาแน่นอนเราชอบตัวเลือกหลังเนื่องจากเร็วขึ้น "นายกรัฐมนตรีกล่าว

ขณะที่นายอเล็กซานดร้า วูคิค กล่าวว่าข้อตกลงในการโอนอาวุธทางทหารของรัสเซียได้รับการอนุมัติโดยประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน

"เราได้พูดคุยกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของรัสเซีย นายเซอร์เก ซอยกู ว่าจะได้รับรถถัง T-72S จำนวน 30 คัน, BRDM-2s จำนวน 30 คัน และเครื่องบิน MiG-29 อีก 6 ลำ ดังนั้นพลเมืองของเซอร์เบียจะเกิดความสงบมากขึ้น"ผู้นำเซอร์เบีย กล่าว

"ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน จะลงนามในพระราชกฤษฎีกาในอีกไม่กี่วันข้างหน้าเพื่อถ่ายโอนเครื่องบินให้กับเราแล้วประเด็นทางด้านเทคนิคจะต้องมีการจัดการ: วิธีการขนส่งเครื่องบินไม่ว่าพวกจะถูกถอดออกเป็นส่วน ๆ หรือประเทศใดประเทศหนึ่งจะจัดหาน่านฟ้า สำหรับเที่ยวบินของพวกเขาแน่นอนเราชอบตัวเลือกหลังเนื่องจากเร็วขึ้น "นายกรัฐมนตรีกล่าว

ขณะที่นายอเล็กซานดร้า วูคิค กล่าวว่าข้อตกลงในการโอนอาวุธทางทหารของรัสเซียได้รับการอนุมัติโดยประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน

"เราได้พูดคุยกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของรัสเซีย นายเซอร์เก ซอยกู ว่าจะได้รับรถถัง T-72S จำนวน 30 คัน, BRDM-2s จำนวน 30 คัน และเครื่องบิน MiG-29 อีก 6 ลำ ดังนั้นพลเมืองของเซอร์เบียจะเกิดความสงบมากขึ้น"ผู้นำเซอร์เบีย กล่าว

นายกรัฐมนตรีเซอร์เบียยังกล่าวด้วยว่าประเทศเซอร์เบียยึดมั่นในนโยบายความเป็นกลางทางทหารและอยู่นอกกลุ่มทหารใด ๆ

เซอร์เบียจะได้รับเครื่องบินขับไล่แบบ MiG-29 จำนวน 6 ลำรถถัง T-72 30 คันและรถลาดตระเวน BRDM-2 จำนวน 30 คัน จากรัสเซียฟรี การอัพเกรดของเครื่องบินรบจะดำเนินการในสามขั้นตอนและจะเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 180-230 ล้านยูโร

ทั้งสองฝ่ายยังได้มีการหารือเกี่ยวกับขีปนาวุธป้องกันขีปนาวุธระยะสั้น Buk-M1 และ Buk-M2 และชุดป้องกันขีปนาวุธอากาศ Tunguska

ดังนั้นกองกำลังเซอร์เบียจะได้รับเครื่องบินรบ MiG-29 6 ลำ, รถถัง T-72, จำนวน 30 คัน และรถลาดตระเวน BRDM-2 จำนวน 30 คัน เสริมสร้างศักยภาพในการป้องกันประเทศของประเทศบอลข่าน

ก่อนหน้านี้เบลเกรดลงนามในสัญญาซื้อเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ และเครื่องบินแอร์บัสในการซื้อเครื่องบินรบ H145M จำนวน 9 ลำ ด้วยกัน

Cr:http://www.siamvariety.com/view-17923.html

หลายๆท่านอาจจะเคยได้ดูจากภาพยนต์ หรือ อาจจะเคยเห็นงูที่มีขนาดไหน จากต่างประเทศ หรือ จากที่ไหนก็ตามแต่ แต่คุณๆท่านๆรุ้หรือไม่ว่า ประเทศไทยก็เคยมีตำนานงูยักษ์เช่นกัน วันนี้เราขอเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับ ตำนานงูยักษ์ แห่ง  “จังหวัดกาญจนบุรี”




เมื่อประมาณ ปีพ.ศ. 2485  ประเทศไทยตกอยู่ในสถานการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มีกองทัพญี่ปุ่นเข้ามาใน จังหวัดกาญจนบุรีเป็นจำนวนมากเพื่อทำที่มั่นในการโจมตีทหารอเมริกันกันและพันธมิตรในเขตภาคพื้นเอเชีย ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นป่าดงดิบหนาทึบทำให้ทาง กองทัพญี่ปุ่นเล็งเห็นถึงความปลอดภัยเพื่อการหลบลี้จากกองกำลังฝ่ายตรงข้าม

ทหารญี่ปุ่นโหดร้ายมากใช้เชลยศึกที่จับมาได้สร้างสะพานข้ามแม่น้ำแควเพื่อให้รถไฟวิ่งผ่านลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์ได้อย่างสะดวก ว่ากันว่าก่อนจะสร้างได้สำเร็จนั้น ต้องสังเวยชีวิตเชลยศึกไปร่วมหลายหมื่นคนจนมีคำพูดเปรียบเปรยว่า “หนึ่งไม้หมอนรถไฟแทนหนึ่งชีวิตที่เสีย” กันเลยทีเดียวหากมีโอกาสลองนับดูครับว่าเยอะแค่ไหน



มาถึงเรื่องหลักของเรากันบ้างครับ เรื่องตำนานงูยักษ์ที่เคยมีคนพูดถึง คุณลุงเล่าว่า สมัยนั้นทหารญี่ปุ่นได้ใช้ใจกลางป่าจ.กาญจนบุรีเป็นที่มั่นในการทำสงครามแน่นอนว่าต้องรุกล้ำเข้าไปในเขตของสัตว์ป่าที่อยู่ลึกจนแทบไม่เคยมีชาวบ้านคนใดเคยเข้าไปสำรวจมาก่อน ทั้งในถ้า ซอกหิน ต้นไม้ต่างๆนาๆถูกดัดแปลงทำเป็นป้อมปราการพร้อมรบ เมื่อตกกลางคืนก็ได้มีการจัดเวร
ยามออกลาดตะเวนรอบๆฐานที่มั่นแบ่งเป็นกะ 10-15 คน คอยออกลาดตะเวนทุกคืน แต่แล้วบางคืน กองลาดตะเวนก็กลับมาไม่ครบ หายไปทีละ 3-5 คน เมื่ออกค้นหาไม่พบจึงคิดว่าเป็นข้าศึกแอบลอบเข้ามาโจมตี จึงได้จัดเวรยามให้เข้มงวดขึ้นอีกเท่าตัว แต่แล้วก็เกิดเหคุการณ์เช่นนี้คือมีทหารหายไปแทบๆจะ 3คืน ต่อครั้ง จนผู้บังคับบัญชาทนไม่ไหว รุ่งเช้าจึงจัด กำลังหลายร้อยออกค้นหาทหารที่หายไป



จนในที่สุดก็ได้พบกับถ้ำแห่งหนึ่ง เป็นโพลงลึกมืดและบรรยากาศหนาวเย็น จึงส่งทหารจำนวนหนึ่งเข้าไปดู ระหว่างที่ส่งทหารเข้าไปนั้นฝ่ายที่เฝ้าดูอยู่ข้างนอกก็ได้ยินเสียงปืนขึ้น 1-2 ครั้ง จึงทำให้คิดว่าเจอข้าศึก จึงได้ส่งทหารอีกกลุ่มเข้าไปทันที ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ทหารเหล่านั้นวิ่งกลับออกมาอย่างไม่คิดชีวิต พลางอุทานว่า “สัตว์ประหลาด” ผู้บังคับบัญชาและเหล่าทหารที่รออยู่ข้างนอกต่างพากันแตกตื่น ในที่สุดก็มีคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาว่าให้เอาระเบิดมาระเบิดถ้ำนี้ซะ        ระเบิดจำนวนมากถูกส่งมาระเบิดปากถ้ำปริศนาดังกล่าว โดยเริ่มกดชนวนระเบิดไล่ไปเรื่อยๆจั้งแต่ปากถ้ำ จนถึงภายในถ้ำ อย่างระมัดระวัง และแล้วภาพที่ทุกคนไม่คาดคิดก็เผยอยู่ตรงหน้า  เมื่อพบกับ งูเหลือมขนาดใหญ่ยักษ์ มีความยาวหลายสิบเมตร ความกว้างขนาดคตู้กับข้าวที่อยู่ในครัว กำลังกระเสือกกระสนพาร่างอันสะบักสะบอม เลื้อยออกไปจากถ้ำ  ทหารญี่ปุ่นไม่รอช้าจัดการกระหน่ำยิงไม่ยั้งไปยังงูยักษ์ต้นเหตุของการหายตัวไปของเหล่าทหารลาดตะเวน ก่อนที่ มันจะขาดใจตายอยู่ตรงนั้น ทางทหารก็ได้หั่นเนื้อของงูยักษ์ออกเป็นชิ้นๆเพื่อความสะใจ ละเป็นการล้างแค้นให้กับผู้ที่ถูกมันคร่าชีวิตไปอย่างสาสม

หลังจากเหล่าทหารสำรวจถ้ำโดยละเอียดแล้วก็พบว่ามีโครงกระดูกเป็นจำนวนมากไม่ต่ำกว่าหลักร้อย ทั้งคนและสัตว์ใหญ่ เรื่องราวทั้งหมดจึงเป็นเรื่องเล่าสืบทอดกันมาอย่างยาวนานจนปัจจุบันที่จังหวัด กาญจนบุรี
คุณลุงได้เล่าเพิ่มว่าเรื่องดังกล่าวก็ได้ยินเล่า ปากต่อปากมาเหมือนกันยืนยันว่าเป็นเรืองจริงแต่ข้อมูลบางอย่างอาจผิดเพี้ยนไปบ้างตามคนเล่าต่อกันมา  เมื่อมีนักท่องเที่ยวทราบว่าคุณลุงเป็นคนพื้นที่ ก็มักจะถามเรื่องนี้อยู่ตลอด
ชมคลิป ตำนานงูยักษ์

ทีมา    http://cl.upyim.com/106935/

Cr:http://khaososo.blogspot.com/2017/04/2_16.html

เด็กทุกคนล้วนมี ‘หัวใจอันบริสุทธิ์’ แต่จะมีสักกี่คนกันที่มี ‘หัวใจแห่งความกล้าหาญ’…กล้าหาญถึงขั้น

ที่ว่ายอมสละได้แม้กระทั่งชีวิตตัวเอง!!



โศกนาฏกรรมของหนูน้อย Ariel Escalante Perez วัย 12 คือเรื่องที่บอกได้เลยว่าเป็น ‘ที่สุดแห่งความปวดร้าว’ โดยน้องคนนี้ได้ถูกแก๊งโจรในกัวเตมาลาดักลักพาตัวไป และน้องได้หายไปนานถึง 72 ชั่วโมง



ซึ่งแก๊งโจรอันธพาลได้บังคับให้หนูน้อย Ariel Escalante Perez เลือก ‘ฆ่าคนขับรถเมล์’ ที่ขับผ่านไปมา ไม่งั้นจะต้องถูกฆ่าเสียเอง แต่แทนที่หนูน้อยจะทำตามคำสั่ง เขากลับเลือกที่จะปฏิเสธเนื่องจาก พ่อของเขาก็ทำงานเป็นคนขับรถเมล์เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่อาจตัดใจทำร้ายคนขับรถเมล์ได้



ตามบันทึกคำสารภาพท้ายที่สุดเหล่าโจรเกิดเดือดดาล และถามหนูน้อยว่าแกอยากตายแบบไหนระหว่างถูกแทง หรือจับโยนลงสะพาน…หนูน้อย Ariel Escalante Perez เลือกอย่างหลัง แล้วเขาก็ถูกจับโยนลงจากรถ ก่อนพุ่งดิ่งลงสู่เบื้องล่าง



ภายหลังทีมกู้ภัยได้พบร่างหนุ่มน้อย และทันทีที่พ่อของเขาเห็นร่างของลูกชายก็โผเข้ากอดทั้งน้ำตา แต่หลังจากนำตัวส่งโรงพยาบาลแพทย์ก็ได้พยายามยื้ออาการอย่างสุดความสามารถ นานถึง 15 วัน น่าเศร้าที่หนูน้อยผู้กล้าหาญรายนี้ไม่รอดชีวิต…



การสละชีพของเขาก็ได้สร้างความปวดร้าวให้ใครหลายคน แล้วเห็นผลในการยอมโดนฆ่าก็แสนสะเทือนใจ

ที่มา: Meekhao

Cr:http://kinorza.com

Cr:http://thaothaisod.blogspot.com/2017/04/12_16.html?m=1

เมื่อวันที่ 16 เม.ย. ศูนย์วีอาร์กู้ภัยวานรนิวาส จ.สกลนคร รับแจ้งเกิดอุบัติเหตุรถยนต์กระบะพลิกคว่ำตกลงไปในหนองน้ำ บริเวณทางโค้งบ้านโพนแพง ถนนสายวานรนิวาส-อากาศอำนวย ต.หนองสนม

อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บหลายราย จึงประสาน พ.ต.ท.สวาท จันทาคำ สวญ.สภ.หนองสนม จ.สกลนคร และอาสาสมัครกู้ภัยรีบเดินทางไปช่วยเหลือ



 ที่เกิดเหตุพบรถกระบะโตโยต้าแบบแค็ป สีดำ หมายเลขทะเบียน ฒผ 3447 กทม. สภาพตกถนนลงไปอยู่ในหนองน้ำพังยับเยินทั้งคัน ภายในรถพบชายวัยรุ่น 1 คน และหญิงสูงอายุอีก 4 คนได้รับบาดเจ็บสาหัสติดอยู่ภายในรถ นอกจากนั้นยังพบผู้บาดเจ็บเป็นหญิงอีก 1 รายกระเด็นตกลงไปอยู่ในหนองน้ำ อาสาสมัครหน่วยกู้ภัยจึงรีบช่วยเหลือนำตัวส่งโรงพาบาลวานรนิวาส

จากการสอบถามผู้บาดเจ็บทราบว่า ก่อนเกิดเหตุหมดเดินทางมาจากบ้านนาโพธิ์นาเพียง อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม เพื่อมาเยี่ยมญาติและทำบุญเสร็จแล้วกำลังเดินทางกลับ เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุซึ่งเป็นทางโค้ง คนขับอาจไม่ชินทาง ทำให้รถที่วิ่งมาเร็วเสียหลักตกพลิกคว่ำหลายตลบ เป็นเหตุให้มีคนเสียชีวิตดังกล่าว ส่วนคนขับรถอาการสาหัสยังไม่สามารถให้การได้



นายขจรศักดิ์ เบ็ญชัย สจ.สกลนคร เขตวานรนิวาส เปิดเผยว่า ขณะเกิดเหตุตนกำลังคุมช่างก่อสร้างบ้านอยู่และได้ยินเสียงดังโครม จึงวิ่งมาดูก็พบมีคนเจ็บร้องขอความช่วยเหลือ และช่วยได้บางส่วน นอกจากนั้นยังมีคนติดในรถ 2 คน จึงประสานขอเครื่องตัดถ่างแต่ต้องรอนานเกือบ 2 ชั่วโมงกว่าจะมาถึง

เมื่อนำคนเจ็บออกมาก็พบว่าเสียชีวิตแล้วทั้งคู่ ซึ่งเพิ่งเคยเห็นคนตายต่อหน้าต่อตาและเกิดหน้าบ้านตนเอง รู้สึกสงสารมากเห็นร้องครวญคราง ช่วยด้วยๆต่อหน้า กว่าจะมาตัดได้ตายก่อนแล้ว น่าสงสารและเห็นใจมาก เรื่องนี้จะได้มีการขอพิจารณาหางบให้กับเจ้าหน้าที่เพื่อชื้อเครื่องช่วยเหลือเมื่อเกิดอุบัติเหตุ

ขอบคุณภาพจาก สจ.ขจรศักดิ์

Cr:http://kinorza.com

Cr:http://thaothaisod.blogspot.com/2017/04/5-2.html?m=1

สามีต้องทำการบ้านทุกคืน! บางคืนก็ 2-3 ครั้ง! จน 10 ปีผ่านไปมีลูกแล้ว 4 คน แต่แม่สามีกลับบอกว่า…

เรากับสามีแต่งงานกันตั้งแต่เพิ่งแตกหนุ่มแตกสาว ตอนนี้พวกเราอายุ 30 กว่ามีลูกสาว 4 คนแล้ว แต่ครอบครัวเราให้ความสำคัญกับเด็กผู้ชายมาก มีพี่น้องเยอะ แค่เราก็มีพี่สาวน้องสาว 6 คนแล้ว น้องสาวคนเล็กตอนนี้เพิ่งจะเข้ามัธยม พูดถึงยายเรา สมัยนั้นไม่รู้จักการคุมกำเนิด ต่อให้จนแค่ไหน ถ้าท้องแล้วก็ต้องคลอดออกมา แม่เรามีพี่น้อง 7 คน แต่มีแค่น้องชายคนเดียว



(เป็นเพียงรูปประกอบเท่านั้น)
แต่สมัยนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน มีการให้ความรู้เกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์มากมาย แต่แม่สามีเรายังมีทัศนคติแบบเดิมๆ แกอยากให้เรามีลูกอีก เรากับสามีไม่ได้จบมหาลัยอะไร การศึกษาไม่สูง แต่ธุรกิจค้าขายพอใช้ได้ รายได้ก็พอเอามาเลี้ยงดูครอบครัวแบบพอดีๆ ทำให้แม่สามีบอกให้มีลูกอีก
เนื่องจากเรากับพี่น้องล้วนมาทำงานในเมือง พวกเราก็เลยมีโอกาสเจอกันบ่อยๆ ฐานะของครอบครัวสามีเราไม่ได้ดีอะไร เขายังมีน้องสาวอีกสองคน ที่บ้านก็มีแค่ห้องแคบๆให้พวกเราอยู่ แต่ปกติพวกเราจะอยู่ที่ร้านกัน แม่สามีบอกกับพวกเราว่า : “พวกแกมีลูกชายสักคนก่อน ค่อยกลับไปสร้างบ้านที่ต่างจังหวัดหรือซื้อบ้านสักหลังในเมือง แม่จะช่วยเตรียมเงินให้สักแสน ที่เหลือแกก็ไปคิดกันเอาเอง” สิ่งที่แม่สามีต้องการก็คือให้เรามีลูกชาย

พอแม่สามีพูดอย่างนี้ สามีก็กลับมาเป็นหนุ่มกลัดมันอีกครั้ง ตอนที่เพิ่งแต่งงานกัน พวกเราจะมีอะไรกันอย่างน้อยคืนละครั้ง อย่างมากก็ 2-3 ครั้ง แต่ต่อมาพอเลี้ยงลูกแล้วเหนื่อย ความถี่ก็เลยลดลง แต่สัปดาห์นึงก็ยังหลายครั้งอยู่ ตอนนี้เพื่อจะมีลูกชาย เขาก็กลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง ตอนแรกเรายังเป็นห่วงกลัวเขาจะเหนื่อยเกินไป แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นอย่างนั้น

แต่เราไม่เหมือนสามี ทุกคืนกล่อมลูกนอนแล้วยังต้องมาอย่างนั้นกับเขาอีก รอจนเขาหลับก็ห้าทุ่มเที่ยงคืน พอเราหลับสนิทบ้างเขาก็จะเอาอีกแล้ว ระยะตกไข่อาทิตย์นั้น เราเหนื่อยจนกินอะไรแทบไม่ลง พูดกันตามตรงแล้วเทียบกับพี่น้อง เรามีลูก 4 คนนี่เยอะที่สุดแล้ว นั่นก็เพราะสามีเราเป็นลูกชายคนเดียว แม่สามีอยากให้มีหลานชายไว้สืบทอดตระกูล

ที่จริงเราก็อยากมีลูกชาย ทุกครั้งที่คลอดลูกเราจะตื่นเต้นมาก แต่เราเลือกได้ที่ไหน หรือถึงจะมีลูกชายได้จริง พวกเราก็ยังมีภาระอีกมาก ซื้อบ้านก็ต้องใช้เงินตั้งกี่ล้าน ค่าครองชีพในเมืองก็ไม่ใช่ถูกๆ แค่คิดถึงค่าใช่จ่ายสำหรับลูก 5 คนเราก็ไม่กล้าคิดแล้ว เราจะทำยังไงดีเนี่ย?

ที่มา:mthailive.com

Cr:http://kinorza.com

Cr:http://thaothaisod.blogspot.com/2017/04/2-3-10-4.html?m=1

Baba Vanga (บาบา วานก้า) แม่เฒ่าหมอดูตาบอดชื่อดังชาวบัลแกเรีย (คำว่าบาบาหมายถึงคุณยาย) เธอได้รับการตั้งฉายาว่า นอสตราดามุสแห่งบอลข่าน "Nostradamus from the Balkans" ชื่อโดยกำเนิดของเธอคือ Vangelija Gušterova แต่คนส่วนใหญ่จะรู้จักเธอในนามบาบา วานก้า หรือคุณยายวานก้า คำทำนายของคุณยายผู้นี้นั้นเป็นจริงมากกว่า 85% เช่นเหตุการณ์ที่เคยเกิดก่อนหน้านี้เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา



เช่นเมื่อปี 2004 เธอได้ทำนายว่าจะมีน้ำสูงซัดเข้าหาดใหญ่กลืนกินคน และก็เกิดขึ้นจริง ก็คือเหตุซึนามิครั้งใหญ่ถล่มทะเลและหมู่เกาะแถบมหาสมุทรแปซิฟิกก่อให้เกิดการศูนย์เสียครั้งใหญ่มีผู้คนเสียชีวิตและหายสาบศูนย์นับแสนคน และยังมีโศกนาฎกรรม 9/11 ที่ยายแกทำนายว่า จะมีนกเหล็ก 2 ตัว โจมตีใส่ชาวอเมริกันแฝดจนล้มตาย หรือแม้แต่การขึ้นเป็นประธานาธิบดีของ บารัค โอบามา ก็เช่นกัน ที่คุณยายทำนายว่า อเมริกาจะได้ประธานาธิบดีคนที่ 44 เป็นเป็นลูกครึ่ง แอฟริกัน-อเมริกัน แถมจะเป็นคนสุดท้ายอีกด้วย



คุณยายวานก้าได้ทำนายเหตุการณ์สะเทือนโลกไว้กว่า 100 เหตุการณ์ ก่อนที่เธอจะเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 1996 เวลา 10:10 น. ด้วยวัย 85 ปี และนั่นเธอเองก็ทำนายได้ด้วยเช่นกัน และต่อไปนี้คือคำทำนายที่แม่เฑ่าผู้นี้เหลือทิ้งไว้ให้พวดเราได้ลุ้นกันว่าจะเกิดขึ้งจริงไหม



ปี 2016 - ชาวมุสลิมจะเข้าบุกรุกทวีปยุโรป กินเวลานับแรมปี ทำให้ผู้คนต้องอพยพออกและตายลง จนทำให้ทั้งทวีปแทบจะไร้ผู้คน



ปี 2017 - สงครามโลกครั้งที่ 3

ปี 2018 - จีนจะกลายเป็นหนึ่งในประเทศมหาอำนาจของโลก

ปี 2023 - วงโคจรของโลกจะมีการเปลี่ยนแปลง (อาจจะหมายถึงประเทศมหาอำนาจอาจจะมีการเปลี่ยนไป)

ปี 2025 - ประชากรในทวีปยุโรปจะลดลงเหลือ 0



ทีมา    https://helen.co.th/10969/

Cr:http://khaososo.blogspot.com/2017/04/2017.html

วันนี้เราจะจะมานำเสนอเรื่องราวของ 8 สิ่งอัปมงคล ที่ไม่ควรเอาไว้ภายในบ้านเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้ผิดฮวงจุ้ยและอาจทำให้เกิด ความวุ่นวายภายในบ้าน ทำมาหากินไม่ขึ้น ครอบครัวทะเลาะกัน และอาจเลวร้ายจนถึงบ้านแตก รู้แล้ว!! รีบเก็บโยนทิ้งออกจากบ้านด่วน  ไปดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง…!!!

*เรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล #โปรดใช้วิจารณญาณ

1.นาฬิกาตาย

ในทางฮวงจุ้ยบอกเอาไว้ว่า ไม่ควรเก็บสิ่งของที่พังเสียหายเอาไว้ในบ้าน โดยเฉพาะนาฬิกาที่ตายแล้ว เพราะมันจะสื่อถึงการเสียชีวิต และอาจจะนำมาซึ่งการสูญเสียภายในบ้าน ถ้าไม่อยากโยนทิ้งก็รีบซ่อมซะ

2. ประตูสีดำ

แม้เทรนด์การแต่งบ้านด้วยประตูสีดำกำลังมาแรง แต่ในทางฮวงจุ้ยมันกลับหมายถึงประตูที่จะนำพามาซึ่งความโชคร้าย เป็นประตูที่คอยเปิดต้อนรับสิ่งไม่ดีให้เข้ามาในบ้าน ยกเว้นถ้าหน้าประตูบ้านหันไปทางทิศเหนือพอดิบพอดี ก็ไม่มีปัญหาอะไรที่น่ากังวล

3. กระจก

กระจกเป็นของใช้ที่จำเป็นชิ้นหนึ่งในบ้านเลยก็ว่าได้ แต่ในทางฮวงจุ้ยนั้น ไม่ว่าจะเป็นกระจกดีหรือกระจกแตก ก็ล้วนสื่อความหมายในทางลบทั้งสิ้น โดยมีความเชื่อกันมาว่ากระจกสามารถดูดวิญญาณทำให้คนในบ้านเจ็บไข้ได้ป่วยและล้มตายได้

4. ปฏิทินเก่า

ข้อนี้ไม่ได้หมายความถึงปฏิทินเก่าเพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงปฏิทินที่แสดงวัน เดือน และปี ที่ผิดไปจากปัจจุบันอีกด้วย เป็นการสะท้อนถึงเหตุการณ์ที่ผ่าน ๆ มาในอดีต ทำให้เกิดผลกระทบในทางลบกับชีวิตของคนในบ้าน

5. จาน-ชามแตก

ต่อให้เสียดายแค่ไหนก็ควรโยนทิ้ง เพราะการเก็บจาน-ชามที่แตกหรือชำรุดเสียหายเหล่านี้เอาไว้ในบ้านหรือกลับนำมาใช้งาน เท่ากับว่าเป็นการตอกย้ำและสะกดจิตใต้สำนึกของเราให้เปิดรับแต่เรื่องแย่ ๆ เข้ามาในชีวิตและบ้านของเราเอง

6. ต้นไม้มีหนาม

ต้นไม้มีหนามอย่าง ต้นไม้ตระกูลกระบองเพชรและพืชชนิดอื่น ๆ ยกเว้นกุหลาบนั้น ไม่ควรนำมาปลูกเอาไว้ในบ้าน หรือนำมาประดับตกแต่งภายในบ้านโดยเด็ดขาด เพราะตามหลักฮวงจุ้ยถือว่าต้นไม้เหล่านี้นำมาซึ่งพลังงานด้านลบและความโชคร้าย

7. ต้นไม้ที่ตายแล้ว

หากคุณเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเวลามากพอที่จะดูแลต้นไม้ก็ไม่ควรเลี้ยง เพราะถ้าปล่อยให้มันเหี่ยวแห้ง ขาดน้ำ และยืนต้นตายอยู่ภายในบ้าน ก็เท่ากับว่าเป็นการเปิดทางให้สิ่งไม่ดีและความโชคร้ายก้าวเข้ามาในชีวิต

8. ผนังสีเขียว

หลายคนอาจจะตกใจว่า สีเขียวเป็นสีธรรมชาติจะมีความหมายถึงสิ่งอัปมงคลได้อย่างไร ซึ่งต้องเท้าความไปในอดีตที่มีการนำสารหนูมาทาผนังให้เป็นสีเขียวและเมื่อผนังเริ่มแห้ง สารที่ทาไปจะปล่อยก๊าซพิษออกมาเพื่อฆ่าคน ดังนั้นจึงเกิดความเชื่อที่ว่าผนังสีเขียวเป็นผนังอัปมงคลนั่นเอง

ทีมา   https://www.nookna.com/article/

Cr:http://khaososo.blogspot.com/2017/04/8.html

จากกรณี เมื่อ วันที่ 10 เม.ย.60 นางแดง อายุ 40 ปี (นามสมมุติ) ผู้ปกครองของ ด.ญ.เอ (นามสมมติ) อายุ 11 ปี นักเรียนชั้น ป.5 เข้าแจ้งความกับ ร.ต.อ.ชนินทร์ เพชรคำ รอง สว(สอบสวน) สภ.เมือง

สมุทรปราการว่าได้ถูกนายส้ม ศรีลา อายุ 24 ปี ซึ่งมีศักดิ์เป็นอา ที่อาศัยบ้านอยู่ติดกัน ออก อุบายหลอกให้เข้าไปไปอาบน้ำสุนัข ภายในห้องน้ำ



ก่อนที่จะบังคับอมนกเขา แต่ทาง ด.ญ.เอ ได้ วิ่งหลบหนีออกมาได้ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 7 เมษายน ที่ผ่านมา หลังจากรับแจ้งความ ทางพนักงาน สอบสวนได้ออหมายเรียกให้นายส้ม เข้าพบเพื่อสอบปากคำ และรับทราบข้อกล่าวหา ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุดเมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 11 เม.ย.นายส้ม ศรีลา ได้เดินทางเข้าพบ พนักงานสอบสวน เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ และให้ปากคำ หลังจากถูกกล่าว โดย นายส้ม ให้การปฏิเสธ วันเกิดเหตุ ตนยอมรับว่าวันที่ 7 เม.ย.ตนอยู่ที่บ้านจริงเนื่องจากปวดท้องจึงไม่ได้ออกเรือ ซึ่งระหว่างอยู่ที่บ้านตนก็มีคนอยู่หลายคน และ ไม่ได้เรียก ด.ญ.เอ เข้ามาที่บ้านแต่อย่างใด เนื่องจากระหว่าง ครอบครัว ของ ด.ญ.เอ กับครอบครัวตนก็ไม่ลงรอยกัน และตนก็มีครอบครัวแล้



ทั้งนี้หลังจาก วันที่ 7 เม.ย. ตนก็ออกไปทำงานลงเรือประมงตามปกติ จนกระทั่งกลับมาที่บ้าน เมื่อวันที่ 10 เม.ย.ตนกลับถูกทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกเข้ามารับทราบข้อกล่าวหาตนก็ตกใจเนื่องจากไม่เคยทำพฤติกรรมดังกล่าวเลย วันนี้จึงได้รีบเดินทางมาพบพนักงานสอบสวน เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้หลบหนีอย่างที่ถูกกล่าวหา นายส้มกล่าวต่อว่า ถ้าตนทำจริงตนก็คงหนีไปแล้ว แต่กลับมา ถูกกล่าวหาอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้ตนเสียหายมาก

เบื้องต้นหลังสอบปากคำ เจ้าหน้าที่ ได้แจ้งข้อหา พรากและพาผู้เยาว์ เด็กอายุไม่เกิน 15 ปี เพื่อไปกระทำอนาจาร ส่งฟ้องศาลจังหวัดสมุทรปราการต่อไป

ที่มา http://clicknews-tv.net

Cr:http://kinorza.com

Cr:http://thaothaisod.blogspot.com/2017/04/11.html?m=1

เกิดเป็นข่าวที่สร้างความเศร้าสลดให้เกิดขึ้นกับคอกีฬาหมัดๆมวยๆ อย่างหนัก ที่ล่าสุดต้องมาสูญเสีย

นักมวยดาวรุ่งฝีมือดี อย่าง “ธนูทอง เกียรติเจริญชัย” ที่ได้จากไปแล้วอย่างกะทันหัน จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2560 ที่ผ่านมา



ตามรายงานเผยว่า เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2560 สภ.คลองแงะ รับแจ้งเหตุจากศูนย์ 191 สงขลาบริเวณโค้ง บ้านระตะ ม.3 ต.พังลา อ.สะเดา จ.สงขลา รถยนต์กระบะสองตอนยี่ห้อโตโยต้า หลุดโค้งไปชนกับรถกระบะติดหลังคาสูง ตรวจสอบเบื้องต้นมีผู้เสียชีวิต 1 รายบาดเจ็บ 2 ราย ทราบชื่อผู้เสียชีวิต คือ ธนูทอง เกียรติเจริญชัย หรือ นายนัฐพงษ์ ภูมิศรี นักมวยไทยชื่อดังวัย 21 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้เพิ่งเข้าชิงแชมป์มวยไทย 7 สี ไปเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ตามที่เป็นข่าวใหญ่ทางหน้าหนังสือพิมพ์ กระทั่งไม่กี่วันต่อมาต้องมาเกิดเหตุสลดดังกล่าว



ทั้งนี้ ที่เฟซบุ๊กของ วีรยุทธิ์ นานช้า รู้จักกันในชื่อ “บ่าววี อาร์สยาม” นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง ได้โพสต์ภาพ พร้อมข้อความไว้อาลัยแด่นักมวยฝีมือดีที่รัก และเอ็นดู มาว่า ..



” ไม่ใช่ศัตรูแต่คือคู่ต่อย ..ที่มีแต่มิตรภาพ…# แพ้ชนะลงมาคุยกันตลอด เพราะเขากับวรวุฒิโตในสายมวยมาพร้อมๆกัน แต่น้องได้จากไปแล้วด้วยอุบัตเหตุ ธนูทอง เกียรติเจริญชัย ขอแสดงความเสียใจด้วย #ธนูทองเพิ่งต่อยกับวรวุฒิและเขาแพ้แต่ทำฟอร์มดี2ไฟต์หลัง และเพิ่งชิงช่อง7อาทิตย์ก่อนเอง แพ้ขุนศึกน้อย #วันนี้เขาจากไปแล้ว เสียดายฝีมือ อนาคต แต่นี่แหละชีวิต สู่สุขติน้องชาย ”



ที่มา tsood.com

Cr:http://kinorza.com

Cr:http://thaothaisod.blogspot.com/2017/04/7_10.html?m=1